หลวงพ่ออุปัชฌาย์ไปล่ ฉนทสโร
อดีตเจ้าอาวาสวัดกำแพง อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดธนบุรี
• • • • • • • • • • • • • • • • • • • •
เหรียญของวัดนี้มีชื่อเสียงโด่งดังนับแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ที่ได้สร้างขึ้นเป็นที่ระลึก
เป็นเหรียญรูปหลวงพ่อไปล่ มีทั้งเนื้อทองเหลืองฝาบาตร และเนื้อสัมฤทธิ์เป็นเหรียญหล่อ
ปัจจุบันนี้ก็หาของแท้ดูยากเพราะชื่อดัง จึงมีคนทำปลอมขึ้นแต่ทำเนื้อไม่เหมือนของจริง
แม้จะพยายามทำสักเท่าไรก็ไม่เหมือนของจริงเป็นที่น่าอัศจรรย์
ผู้เขียนได้พยายามสืบหาประวัติของท่านมานานปี ที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือจาก
คุณเล็ก ภาณุนันท์ อดีตนายอำเภอบางขุนเทียน
อันเป็นเจ้าของท้องที่ที่วัดกำแพงตั้งอยู่
คุณเล็กได้กรุณาไปสอบถามประวัติของหลวงพ่อไปล่ จากผู้ใหญ่แก้ว ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน
ชายของหลวงพ่อเอง จึงได้เรื่องนำมาเผยแพร่ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบประวัติของท่าน
ผู้เขียนขอขอบพระคุณของท่านทั้งสองดังกล่าวแล้วเป็นอย่างสูง
หลวงพ่อไปล่ มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านหมู่ที่ ๖ ตำบลบางบอนใต้อำเภอบางขุนเทียน
จังหวัดธนบุรีท่านเกิดวันอังคาร เดือน ๖ ปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ เป็นบุตรนายเหลือ
นางทอง นามสกุล ทองเหลือ ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเป็น คหบดี อาชีพเกษตรกร
เมื่ออายุ ๘ ขวบ ได้ไปศึกษาหนังสือไทยและขอมกับพระอาจารย์ทัตวัดสิงห์พออ่านออกเขียนได้
ก็ลาจากวัดมาช่วยผู้ปกครองประกอบอาชีพ ท่านเป็นคนมีร่างกายแข็งแรง ใจคอกล้าหาญ
ทรหดอดทน กว้างขวางมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมาก ยุคนั้นบ้านบาบอนใต้เป็นแดนนักเลงหัวไม้
มีทั้งชนไก่ กัดปลา ข้องอ้อย ฯลฯ เวลาวัดมีงานมักจะนัดตีกันเป็นประจำ
สำหรับนายไปล่ พรรคพวกยกย่องให้เป็นลูกพี่ เหตุนี้ทำให้บิดามารดาวิตก
เกรงว่าข้างหน้าอาจจะเสียคน เพราะคบเพื่อนไม่เลือกว่าคนดีคนพาล
พออายุ ๒๓ ปี ซึ่งเลยปีบวชมาแล้วบิดาจึงขอร้องให้บวชพระให้สัก ๑
พรรษา เมื่อบวชแล้ว ดวงชะตาของท่านจะเป็นอย่างไร ก็เป็นอันหมดห่วง
ท่านก็ตกลงจึงเข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดกำแพง อำเภอบางขุนเทียน
โดยมีพระอุปัชฌายะ พระอาจารย์พ่วง วัดกกเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ดิษฐ์
วัดกำแพงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า ฉนทสโร
เมื่อบวชแล้วจำพรรษาอยู่วัดกำแพง ทำอุปัชฌายวัตรอาจาริยวัตรตามธรรมเนียมพระนวกะ
ผู้บวชใหม่ และศึกษาพระธรรมวินัย ท่องบ่นสวดมนต์จนจบทุกยุคทุกคัมภีร์มีอุตสาหะจดจำได้แม่นยำ
และเกิดเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ครบ ๑ พรรษาแล้วเลยไม่ยอมสึก โยมก็ไม่ว่ากระไรด้วยทีแรกตั้งใจว่าบวชแล้วจะขอภรรยาให้จะได้เป็นหลักฐาน
เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นอันต้องระงับไป พอพรรษาที่ ๒ ท่านก็พยายามจนท่องพระปาฎิโมกข์ได้
สวดได้ชัดเจนในครั้งนั้นมีการนิยมการเรียนทางกัมมัฏฐานวิปัสสนาธุระ ด้วยอุปัชฌายะและคู่สวยของท่านล้วนแต่เชี่ยวชาญวิชาทางนี้
ก็ได้ไปถ่ายทอดเอาวิชามาฝึกฝนทดลองจนใช้การได้ นอกจาอาจารย์ของท่านแล้ว ยังได้ไปขอเรียนวิชาไสยศาสตร์เวทมนต์จากพระอาจารย์คง
(องค์นี้ทราบว่าเป็นอาจารย์รุกขมูลธุดงค์) จนมีวิชากล้าแข็ง จะได้อธิบายวิชาของท่าน
เรื่องวิชาเมตตามหานิยมเช่น ผง ๑๐๘ ขี้ผึ้งสีปาก ได้เรียนจากพระอาจารย์พ่วง
วัดกก อาจารย์ชื่อดัง ขนาดเอาขี้ผึ้งทาสัตว์เช่น ไก่ นก สุนัข แมว
จะเดินตามไปอยู่ด้วยที่บ้านไม่ยอมกลับที่เดิม เป็นที่รู้กันทั่วทั้งบางขุนเทียน
ส่วนพระอาจารย์ดิษฐเก่งในทางคงกระพันชาตรี ผ้าประเจียดแดงของท่านดังมาก มียันต์หนุมานหาวเป็นดาวเป็นเดือนที่เรียกว่าหนุมานแผลงฤทธิ์
๔ กร ในเรื่องรามเกียรติ์เป็นอาจารย์สักลายมือสวยนัก สักทีแรกก็แทงเข้า พอสักไปสักครู่วิชาอาถรรพณ์เข้าตัวเหล็กสักไม่ได้กินหลัง
แทงเท่าไรกระเด้งกลับ เลยต้องเลิกเพราะสักไม่เข้า ศิษย์ของท่านหนังดีทั้งนั้น
วิชานี้หลวงพ่อไปล่เรียนมา ขนาดเอามีดโกนปาดง่ามมือเล่นก็ไม่เข้า
เวลาแจกของท่านทำให้ดู พูดว่ามันต้องเหนียวถึงง่ามมือง่ามเท้าจึงจะเก่งจริง ส่วนมากนักเลงที่ว่าเหนียวพอโดนมือโดนเท้าก็เปราะทนไม่ไหว
สำหรับพระอาจารย์ดิษฐท่านเป็นศิษย์ของท่านมาก่อนบวช เมื่อยังเป็นนักเลงใครก็รู้ว่าหนังดีจริงๆ
จนไม่มีใครกล้าต่อกร เมื่อมาบวชแล้วก็เลิกเปลี่ยนเป็นคนละคนทีเดียว
แต่คนทั้งพลายที่เคยเห็นฤทธิ์ ก็ยังเกรงอยู่ไม่กล้าทำแหยมกับท่าน ส่วนพระอาจารย์คงซึ่งเป็นอาจารย์อีกองค์หนึ่งของท่าน
ปรากฏว่า อยู่คงสมชื่อวิชาผูกหุ่นพยนต์ก็เคยไปศึกษากับหลวงพ่อเก้ายอดวัดบางปลา
สมุทรสาคร (ท่านองค์นี้กำบังกายหายตัวได้ กรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์นับถือเป็นพระอาจารย์)
ท่านได้เรียนกับอาจารย์เก่งๆ ดังกล่าวไม่ต้องบอกก็ได้ว่าท่านเก่งขนาดไหนแต่ไม่เคยคุยโอ้อวด
ท่านเป็นพระสมถะ ไม่ทะเยอทะยานในลาภยศ มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ กวาดกุฏิเอง
ของส่วนตัวทำเอง ไม่เคยใช้ให้ใครทำ ขยันในการทำวัตรสวดมนต์เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยชอบความมีระเบียบเรียบร้อย
เมื่อวัดกำแพงว่างสมภารลงทางการคณะสงฆ์และประชาชนได้ขอร้องให้ท่านเป็นสมภาร
อันตำแหน่งสมภารเจ้าวัดท่านไม่เคยสนใจ แต่ขัดชาวบ้านไม่ได้ก็จำเป็นต้องรับได้เป็นคู่สวดและอุปัชฌายะมีคนมาให้ท่านบวชพระปีละมากๆ
เพราะเลื่อมใสศรัทธาในจริยาวัตรของท่านและอยากได้ของขลังของดีจากท่าน
พ.ศ. ๒๔๗๘ คณะศิษยานุศิษย์ร่วมกันบำเพ็ญกุศลฉลองอายุให้ท่าน ในงานนี้ได้ออกเหรียญรูปท่านเต็มองค์ห่มลดไหล่สมาธิ
เป็นเหรียญหล่อทำรูปคล้ายจอบด้านหลังเหรียญมีอักษรไทยว่า ที่ระฤก ๒๔๗๘ วันเทเหรียญปรากฏว่าสายสิญจน์ในพิธีตกลงมาถูกเทียนชัยจี้อยู่จนหมดเวลาพิธี
สายสิญจน์ไม่ไหม้เป็นที่น่าตื่นเต้น เพราะขณะนั้นหลวงพ่อไปล่ท่านนั่งปรกบริกรรมด้วยจิตเป็นสมาธิแน่วแน่
ท่านชอบเดี่ยว ไม่ค่อยจะไปร่วมพิธีกับใคร บอกว่าไปรวมกันไม่รู้ว่าพิธีกับใคร บอกว่าไปรวมกันไม่รู้ว่าใครจะแน่สู้เดี่ยวไม่ได้
และการที่สร้างเหรียญรูปจอบมาขุดฝังเรา และจอบเป็นสัญลักษณ์เครื่องมือสำคัญในการเพาะปลูก
ชาวสวนชาวนาต้องพึ่งจอบเหรียญรุ่นนี้มีประสบการณ์ดังมากใครได้รับแจกเป็นรับรองได้ว่าเรื่องมีดเรื่องปืน
อาวุธทั้งหลายเรียกว่าแมลงวัน ไม่ได้กินเลือดทีเดียวเหรียญรุ่นนี้ทำเป็นเหรียญรูปไข่ก็มีเนื้อเป็นสัมฤทธิ์
และทองเหลืองฝาบาตร ที่ต้องทำเป็นเหรียญหล่อท่านบอกว่าพิธีเข้มข้นกว่าเหรียญปั๊มมาก
หลวงพ่ออุปัชฌาย์ไปล่ ฉนทสโร
นอกจากเหรียญรุ่นนี้แล้ว เมื่อมีงานล้างป่าช้าวัดกำแพงท่านได้ออกเหรียญเป็นรูปพระพุทธรูปเป็นเนื้อโลหะทองเหลือง
รุ่นหลังนี้เรียกว่ารุ่นล้างป่าช้า ใช้ได้ผลมีคนนิยมมากเช่นกัน การแจกเหรียญของท่านไม่กะเกณฑ์ในเรื่องเงินทองใครจะทำบุญก็ทำ
ใครจะมาขอฟรีท่านก็แจก
หลวงพ่อไปล่ท่านมีกระแสจิตกล้าแข็ง คราวหนึ่งเจ้าคุณพระพุทธพยากรณ์(เจริญ
อุปวิกาโส) วัดหมูอัปสรสวรรค์ ได้มานิมนต์ให้ไปนั่งปรกในงานหล่อพระที่วัดหมูท่านบอกว่าให้บอกเวลามาว่าพิธีจะลงมือเมื่อไร
ท่านจะนั่งทำสมาธิอยู่ที่กุฏิของท่าน ไม่ต้องเดินทางมานั่งถึงวัดหมู เจ้าคุณพุทธพยากรณ์องค์นี้เป็นลูกศิษย์พระภาวนาโกศลเถร
(เอี่ยม) วัดหนัง มีวิชาทางในสูงรู้ทันทีว่าหลวงพ่อไปล่จะนั่งทำสมาธิที่ไหนก็ได้ขอให้บอกเวลาให้ท่านทราบ
พอถึงเวลาปลุกเสก พระอาจารย์ในพิธีที่นิมนต์มาจะเห็นร่างหลวงพ่อไปล่ปรากฏนั่งสมาธิอยู่
ในพิธีด้วย เรื่องนี้ใครๆ ก็ทราบโทษขานกันทั่วไป
อยู่มาวันหนึ่งท่านพูดกับศิษย์ที่ใช้ใกล้ชิดว่าให้เอ็งช่วยจำไว้ด้วยว่าอีก
๒-๓ วัน ข้าจะเลิกฉันน้ำชาเสียที ศิษย์ผู้นั้นได้ฟังก็สงสัยแต่ไม่กล้าซักถาม พอถึงวันที่
๓ นับแต่ท่านพูดปรากฏว่าพวกขี้ยามาขโมยเอาป้านน้ำชาที่ท่านฉันประจำ ไปนับแต่นั้นท่านก็เลิกฉันน้ำชาจริงๆเรียกว่ารู้ล่วงหน้า
เรื่องกำลังจิตกล้า อีกเรื่องหนึ่งคือ นายสุดใจเปรมชื่น คนรางสี่บาทแสมดำ
ศิษย์ของท่านไปถูกเกณฑ์ทหารบก ทางการเขาส่งไปแนวหน้า
เวลานั้นเริ่มสงครามมหาเอเซียบูรพา นายสุดใจได้มาขอของดีจากท่านไปคุ้มตัว
บังเอิญเดินสวนกับท่านไปคุ้มตัว บังเอิญเดินสวนกับท่านที่ทางรถไฟสายมหาชัยตอนใกล้สถานีบางบอน
ด้วยมีคนเขานิมนต์ท่านไปสวดมนต์งานทำบุญบ้านใกล้ๆ บางบอน นายสุดใจก็นั่งลงยกมือไหว้พูดขอของดีจากท่านว่าจะไปแนวหน้า
ท่านหัวเราะบอกว่าข้าไม่ได้เอาอะไรติดย่ามมาเอ็งหยิบเอาก้อนหินข้างทางรถไฟมาสักก้อนหนึ่งนายสุดใจก็หยิบหินส่งให้ท่านๆ
หยิบไปทำสมาธิสักครู่แล้วก็ส่งให้บอกว่านี่แหละคุ้มตัวได้นายสุดใจเห็นแล้วจะไม่เอาก็เกรงท่านเพราะท่านเป็นอุปัชฌายะบวชให้
ได้นำหินก้อนนั้นติดตัวไปสนามรบไม่เคยมีอันตรายและไม่เคยป่วยไข้ ปืนในสนามยิงมาเท่าไหร่ก็ยิงไม่ถูกเลย
พวกเพื่อนๆ ถามว่าเอ็งพกอะไรมานายสุดใจหยิบก้อนหินที่ถักลวดแขวนคอเพียงก้อนเดียวให้ดูพวกเพื่อนหัวเราะไม่เชื่อ
ขอเอาไปทดลองด้วยปืนปรากฏว่า ยิงเท่าไหร่ก็ไม่ออกเลยเลิกดูถูกท่าน
เรื่องน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ของท่าน มีคนให้รดเป็นประจำวิชามหาประสานเคยแสดงให้ดูในคราวในวัดมีงาน
เกิดฟันกันชุลมุนปรากฏว่าคนถูกฟันวิ่งไปบนกุฏิของท่านๆ จึงบ้วนน้ำมหากรดที่แผลถูกฟัน
แผลก็ติดกันสนิท ท่านถามเป็นเชิงทดลองใจว่า แผลสนิทแล้วจะไปไหน
เจ้าคนนั้นเกิดมีกำลังใจเลือดนักสู้เลยบอกว่าจะไปฟันกับมันต่อ ท่านหัวร่อบอกว่า
ลูกผู้ชายมันต้องอย่าถอย ถ้าเอ็งกลับไปบ้านเห็นที่แผลที่ประสานไว้จะแยกตามเดิม
มีบางรายพอมาให้ท่านประสาน แผลแล้วเกิดใจไม่สู้เรียกว่าชักจะแหยพอกลับไปถึงบ้านแผลก็แยก
ต้องกลับมาฟันกับเขาใหม่อีกครั้ง ดูก็น่าอัศจรรย์แผลกลับติดดังเก่า เรื่องนี้หลวงพ่อเลียบวัดเลาเคยเล่าให้พวกนังเลงฟังว่า
เอ็งอย่าไปเล่นกับท่านวัดกำแพงนะ
ท่านเป็นคนจริงอย่าไปทำแหยให้ท่านเห็นเป็นอันขาด หลวงพ่อเลียบเป็นศิษย์อุปัชฌาย์องค์เดียวกันกับหลวงพ่อไปล่
คือหลวงพ่อทัตวัดสิงห์บางขุนเทียน รู้จิตใจกันดี เมื่อท่านมาได้ดีเป็นพระราชาคณะที่พรเทพสิทธินายก
เจ้าอาวาสวีดเทวราชกุญชรก็ยังไปมาหาสู่กันเสมอเคยสนับสนุนจะให้หลวงพ่อไปล่ ได้สมณศักดิ์เป็นพระครู
ท่านกลับว่าฉันไม่อยากเป็นครูพระหรอกสอนตัวเองก็พอใจแล้ว การเป็นพระครูหมายถึงต้องเป็นครูสอนพระฟังดูเป็นคำคมของท่าน
ด้วยไม่ทะเยอทะยานเป็นใหญ่เป็นโตอะไรไม่สนใจเรื่องยศช้างขุนนางพระตามคำกล่าวของคนโบราณ
ท่านขอแต่ได้ครองศีลบริสุทธิ์พอใจเป็นเพียงตำแหน่งพระอุปัชฌายะบวชพระเอาบุญกุศลเท่านั้น
จะใหญ่จะโตแค่ไหนก็เน่าทั้งนั้นที่เรียกว่าผู้ใหญ่วันนี้ก็คือผีวันหน้านั่นเองหนีไม่พ้น
จะขอนำคาถาที่ท่านสอนให้ภาวนาเวลา จะออกจากบ้านว่าดังนี้ตั้งนะโม
๓ จบ
พระพุทธอยู่หลังพระอะระหังอยู่หน้า ตรงกลางคือตัวอาตมา
มหาเดชาภะวันตุเม บอกว่าไปไหนๆ
ไม่ต้องเป็นห่วงชีวิตเพราะมีผู้ปกป้องอยู่ทั้งหน้าหลังดังกล่าวแล้ว อีกบท ๑
เป็นคาถาทางเมตตามหานิยม สะเพ็ชชะนา พหูชะนาท่องแล้วเขายังไม่มาต้องไปหาเขาเองเพราะจะมัวรออยู่ก็จะเสียเวลาเปล่าฟังดูแล้วเห็นจริง
ปัจจุบันนี้ไม่มีเวลารอกันแล้ว มือใครยาวสาวได้สาวเอา มือใครสั้นเอาวัลย์ต่อเข้าเคยเตือนลูกศิษย์ว่า
แม้ฉลาดก็อย่าขาดเฉลียว ประเดี๋ยวจะพลาดอย่าได้ประมาทเลย
คำขวัญของเหรียญมีว่า
มีเหรียญหลวงพ่อไปล่วัดกำแพงใครจะมาฆ่าแกงก็ไม่ต้องกลัว ถึงไหนถึงกันคงกระพันชาตรีดีนักแล
สมัยนั้นใครมีเหรียญวัดหนังก็ไม่กล้าแหยมกับคนที่แขวนเหรียญวัดกำแพงจัดเป็นยอดเหรียญของอำเภอบางขุนเทียน
ทั้ง ๒ วัดใครๆ ก็รู้กันทั่วว่าเด็ดทั้งคู่ ท่านได้บำเพ็ญศาสนกิจมาด้วยความเกร่งครัดสม่ำเสมอในที่สุดก็ถึงมรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ
สมเป็นนักปฏิบัติ เมื่ออายุ ๗๙ ปี พรรษา ๕๙
อนึ่งตามปกติหลวงพ่อไปล่ชอบสงบไม่ชอบอึกทึกครึกโครมในวันเผาศพท่าน
พวกศิษย์ได้นำพลุ ตะไล ไฟพะเนียง ดอกไม้เพลิงมาจุดด้านหมดจุดไฟติดเลยพองานเลิกได้นำมาจุดใหม่
ดังสนั่นหวั่นไหว การจุดต้องลากไปจุดกันนอกวัด
ถ้าในวัดก็ด้านน่าแปลกจริงเรื่องนี้ใครๆ รู้กันทั่วได้พูดถึงอภินิหารของท่านมาจนทุกวันนี้
กระดูกขี้เถ้าคนที่ไปเผาเข้าแย่งกันอุตลุด ไม่มีเหลือ
ทั้งนี้เพราะความเลื่อมใสศรัทธา มีคนเล่าว่าแม้แต่ท่านมรณภาพไปแล้ว หนังยังเหนียว
พวกสัปเหร่อเอามีดตบแต่งศพก็ยังเฉือนไม่เข้า ต้องจุดธูปจุดเทียนบอกเล่าขอขมา
แม้กระนั้นก็ยังเฉือนไม่เข้าอยู่นั่นเอง และศพก็แห้งไปเลยๆ
ไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นทั้งนี้เพราะท่านรักษาศีลบริสุทธิ์นั่นเอง คนไปเผาท่านมากันมากมายหลายจังหวัดมีทั้งคนเล็กคนใหญ่
ไม่เลือกชั้นวรรณะ เสมอภาคกันเพราะเมื่อท่านยังมีชีวิตก็เป็นกันเองแก่คนทั่วไปไม่ถือคนจนคนมี
ท่านพูดว่าในที่สุดก็ทันกันตอนหมดลมหายใจนี่แหละ เกิดเท่าไหร่ตายเท่านั้นมาสามัคคีกันจะดีกว่าท่านเคยพูดว่าคนมาผ่านโลก
ไม่ได้มาประจำโลกคือ มาพบกันชั่วคราวเท่านั้นเอง ฉะนั้น ตัวอกุศลมูล มี โลภ
โกรธ หลงควรละเสียบ้างถึงละได้ ไม่มากก็ยังดีกว่าสะสมมันเอาไว้
สุดท้ายนี้ขอให้ท่านผู้ได้อ่านประวัติและคติเตือนใจของหลวงพ่อไปล่จงหมดทุกข์ปลอดภัย
และอยู่เย็นเป็นสุขจิตสดใส ความพอคือความเป็นอัครมหาเศรษฐีถ้ายังไม่พอก็ยังเป็นไม่ได้หรอกนะ
สุ.จิ.ปุ.ลิ.ต่อไปนี้ เป็นคาถาที่หลวงพ่อไปล่ภาวนาเป็นประจำ คือกำแพงแก้ว ๗
ประการ ท่องว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สัตตะระตะมะปะการัง อัมมหากัง
สะระณังคัจฉามิ สุสุละละโสโส นะโมพุทธายะ พุทโธพระบังธัมโมพระบัง สังโฆพระบัง
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น