วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท


หลวงปู่ศุข
วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท




ภูมิลำเนา หลวงปู่ศุขท่านอยู่ในละแวกวัดมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ปัจจุบันยังมีลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี หลวงปู่ศุขท่านใช้นามสกุลเกศเวชสุริยาอีกสกุลหนึ่ง ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวน ๙ คนด้วยกัน

เมื่อหลวงปู่ฯ อยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ทำมาหากินค้าขายเล็กๆ น้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน

คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญและกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้ เพราะขาดการทนุบำรุงเท่าที่ควร

หลวงปู่ฯ ท่านทำมาหากินอยู่ในคลองบางเขนอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งได้ภรรยาชื่อ นางสมบูรณ์ และเกิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวชสุริยา

หลวงปู่ฯ ท่านครองเพศฆราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ ๒๒ ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขนหรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี

พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อ หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ฝ่ายรามัญที่ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนาธุระมีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคมก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ฯ ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากอุปัชฌาย์ของท่านมาพร้อมกับอาจารย์เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่า วัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน

หลวงปู่ฯ ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี จนกระทั่งมารดาท่านที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ได้ชราภาพลงตามอายุขัย และความเจ็บไข้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในบิดามารดาของท่านจึงได้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆ ทีวัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่โบราณที่อยู่ลึกเข้าไปในคลองมะขามเฒ่า หรือบริเวณต้นแม่น้ำท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพของวัดอู่ทองขณะนั้นได้เกิดการชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนมาสู่สภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้ขยับขยายออกมาที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และได้สร้างกุฏิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่อยู่อาศัยไปพลางก่อน

สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ๆ ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดการฌาปนกิจศพ และในงานนี้เอง หลวงปู่ฯ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฏอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกันไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างในชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่จะแวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระของหลวงปู่ฯ จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกันไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน จึงบังเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ สมัยก่อนพระวัดปากคลอง เนื้อตะกั่ว จุมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าจะไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่าเอ็งมีลูกกี่คน?” ท่านจะให้ครบทุกคน

กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจาการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดี่ยวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าแม่ขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจรที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็นเสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศ ชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดีหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุขกันเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นพระองค์ที่ ๒๘ และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้วได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน และเป็นที่ต้องอัธยาศัยซึ่งกันและกัน จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ เพื่อจักได้ศึกษาทางมหาพุทธาคม และปรากฏว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความสามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงพ่อเองก็หมดความรู้ จึงได้ให้เสด็จในกรมฯ ไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้น

เมื่อหลวงปู่ศุข ท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่สร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จสมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้ก็คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่ทางกรมศิลป์ยกย่องว่าเสด็จในกรมฯ ทรงฝีมือในการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธเจ้าชนะมาร ในการะแสน้ำที่พระแม่ธรณีบีบมวยผมทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฤาษีปัญจวัคคีเมื่อเห็นเจ้าชายสิทธัตถะเลิกทรมานการหันมากินอาหาร ก็นึกว่าพระองค์คงจะถ้อถอยละความเพียรแล้ว จึงพากันผละหนีพระองค์ไปนั้น เสด็จในกรมฯ ท่านเขียนใบหน้าของฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดอารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยันอย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก

ฝีมือของเสด็จในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือภาพเขียนสีน้ำมันเป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนขึ้นในขณะที่หลวงปู่มีอายุมากแล้วจึงต้องเดินสามขา

ศิลปวัตถุในพุทธศาสนาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า นอกจากพระอุโบสถแล้วยังมีมณฑปจตุรมุขประดิษฐ์บานรอยพระพุทธบาท ประตูทั้ง ๔ บานนั้นแกะด้วยไม้สัก แกะลวดลายลึกถึงสามชั้น เคยมีคนสมคบกันเอาบานประตูมณฑปจตุรมุขออกขาย เอาลงมากรุงเทพฯ เตรียมใส่เรือกระแชงในคลองมหานาคเพื่อออกต่างประเทศ ด้วยดวงวิญญาณในหลวงปู่ศุขท่านผูกพันอยู่กับศาสนาวัตถุที่ท่านสร้างเอาไว้ในบวรพุทธศาสนา ท่านจึงเข้าประทับทรงจากหิ้งบูชาจังหวัดนครสวรรค์ รับเอาท่านแม่ทัพที่นครสวรรค์ (ขออภัยผู้เขียนจำชื่อท่านไม่ได้) และมารับเอาท่านนายอำเภอประจำจังหวัดชัยนาทในขณะนั้น คือ คุณสุธี โอบอ้อม แล้วนั่งรถเข้ากรุงเทพฯ ร่างทรงหลวงปู่ฯ ได้พาคณะลดเลี้ยวเข้าครอกเข้าซอยจนมาถึงเรือกระแชงที่บรรทุกบานประตูมณฑปเตรียมขนออกนอกได้อย่างทันท่วงที ยึดเอาบานประตูทั้ง ๔ บาน คืนกลับไป ขณะนั้นยังคงเก็บรักษาไว้ที่วัดป่าพานิชวนาราม อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท และยังไม่ได้ส่งคืนวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพราะเหตุอะไรนั้น ชาวจังหวัดชัยนาทเขาทราบกันดี

เรื่องทรงเจ้าเข้าผีนี้ จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ แต่ที่ทรงจริงๆ นั้นมันมีน้อย อย่างในกรณีดวงวิญญาณหลวงปู่ศุขประทับทรงแล้วซอกแซกลงมาจากนครสวรรค์ถึงกรุงเทพฯ เกือบ ๓๐๐ กม. แล้วยังพาคณะเข้าครอกตรอกซอยจนถึงเรือกระแชงที่จอดลอยลำอยู่ในคลองมหานาคนั้นมันเป็นการเดินทางที่สลับวับซ้อนและวกวนน่าดู แต่ร่างทรงก็พาคณะไปจนพบและยึดบานประตูกลับคืนมาได้นั้น มันเป็นเหตุการณ์อันมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และบานประตูมณฑปทั้ง ๔ บานดังกล่าวแล้วนั้น ทั้งเสด็จในกรมฯ และหลวงปู่ศุขได้ช่วยกันสร้างเป็นชิ้นสุดท้าย ระบุปี พ.ศ. ๒๔๖๕ อยู่ที่ซุ้มหน้ามณฑปอีกด้วย

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯ ติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯ ได้สร้างกุฏิอาจารย์ไว้กลางสระที่วังนางเลิ้ง ซึ่งต็มไปด้วยดอกบัววิคตอเรีย มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่าจากลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ฯ มาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์หรือพิษณุโลกจำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ศุขท่านขอพ่อแม่มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ฯ ท่านก็เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท เลยเรียกกันติดปากว่า ลุงผล ท่าแร่

แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด ๑ ปี หลวงปู่ศุขท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ ๑ ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะเสด็จในกรมน ท่านจะกระทำพิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น ๓ วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ และวันที่สามจะไหว้ครูทางวิทยายุทธ์พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืนกับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุมากแล้วสุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยจะได้ลงมา

จากการที่ผู้เขียนได้เคยศึกษาตำราอักขระเลขยันต์จากอาจารย์ท่านมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ผู้สืบสายมาจากท่านใบฎีกายัง วัดหนองน้อย อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ซึ่งเป็นฐานาในหลวงปู่ศุข และเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงปู่ศุขรูปหนึ่ง ตำราอักขระเลขยันต์ซึ่งคุณหมอสำนวน ปาลวัฒน์วิไชย แห่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ใช้เวลาค้นคว้าและรวบรวมพระเครื่องในหลวงปู่ศุข ตลอดจนประวัติและเรื่องราวของท่านตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปี ได้นำออกมาตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือรวมเล่มขนาดหนานั้น ได้ตีพิมพ์ตำราอักขระเลขยันต์ของหลวงปู่ศุขที่สอนให้กับลูกศิษย์ของท่างลงไปด้วย และบางตอนบางหน้ายังเป็นลายมือของหลวงปู่อีกด้วย นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับผู้ที่สนใจจริงๆ แต่ทว่าในตำราอักขระเลขยันต์ของท่านนั้นเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานทั่วๆ ไป ซึ่งมีอยู่ในตำรามหาพุทธาคมที่เราได้ร่ำเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี้ อย่างเช่นการเรียนสูตรสนธ์จากคัมภีร์รัตนมาลา ในพระอิติปิโส ๕๖ พระคาถาห้องพระพุทธคุณ ลงเป็นยันต์เกราะเพชรหรือตาข่ายเพชร ยันต์พระไตรสรณาคมน์ตลอดจนคัมภีร์นะ ๑๐๘ และนะพินธุ หรือนะปฐมกัลป์ หรือนะโมพุทธายะใหญ่ และยันต์ประจำตัวของท่านที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำก็คือ ตัวพุทธมวันโลก ที่ท่านใช้จารลงที่หลังพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่าน นอกจากนั้นยังลงด้วยยันต์สามลง มะ อะ อุ ที่ขมวดยันต์ลงหลังรูปถ่ายของท่าน เรียกว่า ยันต์เพชรหลีกน้อย นอกจากนั้นท่านจะนิยมหนุนหรือล้อมด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ นะ มะ พะ ทะ

อนึ่งการที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลังได้ประสิทธิมีฤทธิ์มีเดชทั้งๆ ที่ใช้อักษรเลขยันต์พื้นๆ นั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้นกล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้ง ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดเห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือและการปฏิบัติที่มุ่งหมายให้เกิดผลด้วยการใช้พลังหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ของขลัง พิธีกรรม หรือหลีกลี้ลับ บังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจน การผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้ เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็คงเป็นใบมะขาม หัวปลีก็คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟางก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่ด้วยอำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง

จากหนังสือพระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เรื่องพระใบมะขามท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุข ขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ. ๒๔๕๙) ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่นเงิน ทอง นาก ให้ลงคาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง ข้าพเจ้าถามว่าการค้าขาย จะให้ลงว่ากระไร? หลวงพ่อบอกว่านะชาลิติบางคนขอเมตตา ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร? หลวงพ่อพูดติดตลกว่าเมตยายไม่เอาหรือ เอาแต่เมตตาเท่านั้นหรือ?” คนขอจึงบอกขอเมตตาอย่างเดียว ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร? ท่านบอกว่านะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดูข้าพเจ้าจึงบอกว่าหลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรหลวงพ่อบอกว่ามันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา

ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั่นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม แล้วท่านเสกเป่าไปที่ศีรษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมที่ไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งทีข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุกก็ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฏฐากรูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ

อนึ่ง ท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี ไม่ใคร่พูดจา นั่งสงบอารมณ์เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่นเขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯ เห็นจนยอมเป็นศิษย์หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่าลวงโลกแล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่าอะไรอีก หลวงพ่อพูดต่อไปว่าเวลานี้กรมหลวงชุมพรฯ ไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯนี้ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันครายได้

หลวงพ่ออยู่ที่กุฏิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) พุทธสรมหาเถรเป็นเวลาสิบวันเศษ ได้ทราบว่าสมเด็จเรียนวิทยาคมกับหลวงพ่ออีกด้วย

อนึ่ง การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่หลงเหลืออยู่บ้าง จากการไต่ถามบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านซึ่งส่วนมากจักล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การที่ท่านได้รับรู้จากการเขียนของท่านมหาซึ่งเคยอุปัฏฐากหลวงปู่ ดังกล่าวแล้วนั้นคงจักทำให้ท่านมองเห็นสภาพของหลวงปู่ศุข ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด





ยอดยาสมุนไพร หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า 



ยารักษาโรคหัวใจ
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
มะพร้าวอ่อน ๑ ผล
ต้นคื่นฉ่ายสด ๑ กำมือ

วิธีปรุงยา
เอามะพร้าวอ่อนมาตัดเอาหัวออก เปิดกะลามะพร้าว อย่าให้น้ำมะพร้าวหก เอาต้นคื่นฉ่ายสดมาล้างน้ำให้สะอาด ตัดเป็นท่อนๆ ใส่ลงไปในน้ำมะพร้าวนั้น

จากนั้นเอามาเผาไฟจนน้ำมะพร้าวเดือด พยายามอย่าให้น้ำมะพร้าวหกออกมา ถ้าไฟแรง ลดไฟลงให้เดือดอ่อนๆ จนคื่นฉ่ายผสมผสานกับน้ำมะพร้าวมากๆ ด้วยเวลาประมาณ ๑๐ นาทีเศษ

ขนาดรับประทาน
เอาน้ำมะพร้าวนี้ปล่อยเอาไว้ให้อุ่น ดื่มให้หมดวันละ ๑ ผล
ทำเช่นนี้เป็นเวลา ๗ วัน ๗ ผล
ต่อมาให้รับประทานยานี้วันเว้นวัน ต่อเนื่องกันประมาณ ๑-๒ เดือนอาการของโรคหัวใจจะค่อยๆ ทุเลาลงเรื่อย

สรรพคุณ
รักษาอาการของโรคหัวใจได้ดีมาก อาการหายใจขัดจะหายไป อาการอ่อนเพลียจะไม่เกิดขึ้นเหมือนเมื่อก่อน เรี่ยวแรงจะดีขึ้น อาการเจ็บปวดที่ทรวงอกด้านซ้ายจะไม่มีเหมือนเดิมอีก


ข้อสำคัญจะต้องรับประทานต่อเนื่องกันไป ตามที่แนะนำจึงจะรักษาอาการของหัวใจผิดปกติได้ดี





ยารักษาโรคหัวใจ
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
ข้าวเย็นเหนือ หนัก ๑๐ บาท
ข้าวเย็นใต้ หนัก ๑๐บาท
กำมะถันเหลือง หนัก ๑๐บาท
กำแพงเจ็ดชั้น หนัก ๑๐บาท
ทองพันชั่ง หนัก ๑๐บาท
ชะเอมเทศ หนัก ๑๐บาท

วิธีปรุงยา
เอาตัวยาและส่วนผสมทั้งหมดมาใส่หม้อดินต้มกับ้ำพอท่วม ต้มเคี่ยว ให้ตัวยาออกมามากๆ ประมาณ ๒๐ นาที ด้วยไฟเดือดอ่อนๆ แล้วยกหม้อต้มยาลงมา ปล่อยเอาไว้ให้เย็นลง

ขนาดรับประทาน
เอามาดื่มครั้งละ ๑ ถ้วยชา หลังอาหารเช้า กลางวัน และเย็น รวมวันละ ๓ เวลา

สรรพคุณ
รักษาอาการของโรคหัวใจได้ดีมาก แก้อาการอ่อนเพลียระเหี่ยใจ เหนื่อยหอบ หัวใจเต้นผิดปกติ



ยารักษาโรคหัวใจ
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
ต้นและใบบัวบก ๒ กำมือ
น้ำตาลทรายแดง
(ไม่มีน้ำตาลทรายแดง เอาน้ำตาลทรายขาวก็ได้)

วิธีปรุงยา
เอาต้นและใบบัวบกที่ถอนเอามาสดๆ เอามาล้างน้ำให้สะอาด แล้วสับเป็นท่อนสั้นๆ ใส่ลงไปในครก โขลกให้แหลกละเอียดแล้วคั้น เอาน้ำข้นๆ มาผสมกับน้ำตาลทรายแดง คนให้ละลายเข้าด้วยกัน

ขนาดรับประทาน
เอามาดื่มครั้งละ ๑ แก้ว
ดื่มวันละ ๓ แก้ว เช้า กลางวัน และเย็น ดื่มต่อเนื่องกันประมาณ ๑ สัปดาห์หรือ ๑๐ วัน

สรรพคุณ
รักษาอาการของโรคหัวใจได้ดี อาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย อาการเจ็บปวดที่ทรวงอกข้างซ้ายหรือที่หัวใจ อาจจะมีเหงื่อออกเป็นประจำ



ยารักษาโรคหัวใจ
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
หัวไชเท้า ๑ หัว
(ถ้าหัวใหญ่ ครึ่งหัวก็พอ)
น้ำผึ้งแท้ ๑ ถ้วย

วิธีปรุงยา
เอาหัวไชเท้าหรือผักกาดหัวสดๆ มาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกออกไป ขจัดดินและสิ่งสกปรกออกให้หมด แล้วตัดเป็นชิ้นๆ กำลังพอเหมาะที่จะรับประทาน

จัดหาน้ำผึ้งแท้มาสัก ๑ ถ้วย เตรียมเอาไว้

ขนาดรับประทาน
เอาหัวไชเท้าหรือผักกาดหัวสดๆ ดังกล่าว มาจิ้มกับน้ำผึ้งแท้ รับประทานเช้าครั้งหนึ่ง เย็นอีกครั้งหนึ่ง รับประทานเช่นนี้ทุกๆ วัน เป็นเวลาประมาณ ๒ สัปดาห์

สรรพคุณ
รักษาอาการของโรคหัวใจได้ดีมาก อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เจ็บปวดที่ทรวงอกข้างซ้ายหรือที่หัวใจ อึดอัด หายใจไม่สะดวก จะดีขึ้น ทุเลาขึ้นมาเรื่อยๆ จนหายเป็นปกติในที่สุด
พยายามรับประทานเพื่ออาการของโรคจะดีขึ้นมา



ยารักษาโรคหัวใจ
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
ต้นไมยราบ (ทั้งต้น ดอก ราก) สดๆ ๑ กก.

วิธีปรุงยา
เอาต้นไมยราบสดๆ ดังกล่าวข้างต้นมาล้างน้ำให้สะอาด สับเป็นท่อนสั้นๆ แล้วเอาไปตากแดดให้แห้งสนิท
จากนั้นเอามาคั่วในกระทะให้เหลือง หอม เก็บใส่ขวดโหล หรือภาชนะที่ปิดฝาได้มิดชิดเช่นเดียวกับการเก็บใบชา
ไม่ให้อากาศภายนอกเข้าไปได้ เก็บเอาไว้ได้นานๆ เวลาใช้ก็เอามาชงกับน้ำเดือด จิบได้เป็นน้ำชา

ขนาดรับประทาน
ชงเป็นน้ำชาใส่เอาไว้ในกาน้ำชา หรือเอามาใส่ลงไปในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า จัดการต้มไปเลย แล้วรินเอามาดื่มเป็นน้ำชาได้ตลอดทั้งวัน แทนการดื่มน้ำชานั่นเอง
แต่ว่าการดื่มน้ำชาต้นไมยราบนี้ดีกว่ามากมาย เพราะมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรได้ดี

สรรพคุณ
รักษาอาการผิดปกติของหัวใจได้ดี เป็นต้นว่าหัวใจเต้นผิดปกติ อาการของหัวใจสั่น อาการเจ็บปวดที่ทรวงอกตรงบริเวณหัวใจ




ยารักษาความดันโลหิตสูง
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
กาฝากมะม่วงทั้งห้า (ต้น ใบ ราก) สดๆ โดยการตัดเอามาจากต้นมะม่วงอะไรก็ได้ เอามาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ กก.

วิธีปรุงยา
เอากาฝากมะม่วงสดๆ สับเป็นชิ้นๆ รวมทั้งใบและรากที่เกาะกิ่งมะม่วง เอามาตากแดดให้แห้งสนิท ซึ่งจะต้องตากหลายๆ แดด
จากนั้นเอามาเก็บเอาไว้ในภาชนะที่ปิดฝามิดชิด เวลาเอามาใช้ ก็เอามาใส่ลงไปในหม้อดินสัก ๒ กำมือ เติมน้ำให้ท่วมพอสมควร ต้มเคี่ยวให้เดือดอ่อนๆ ด้วยเวลาประมาณ ๑๕-๒๐ นาที
ยกลงปล่อยเอาไว้ให้เย็นไปเอง

ขนาดรับประทาน
ดื่มเช้า กลางวัน และเย็น ครั้งละ ๑ แก้ว หรือดื่มแทนน้ำชาก็ได้ทั้งวัน แทนน้ำชาจีนไปได้เลย
หิวน้ำก็ดื่มน้ำกาฝากต้นมะม่วงนี้แหละ

สรรพคุณ
แก้อาการความดันโลหิตสูงได้ดีมาก




ยารักษาความดันโลหิตสูง
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
รากมะละกอตัวผู้ (ทางด้านตะวันออก) โดยการตัดปลายรากออกไป ตัดด้านทางหัวออกไปด้วย ๑ กำมือ
สารส้มก้อนประมาณหัวแม่เท้า ๑ ก้อน

วิธีปรุงยา
เอารากมะละกอตัวผู้มาจากต้น แล้วล้างน้ำให้สะอาด อย่าลืมตัดปลายรากและทางหัวออกไปเสียก่อน สับเป็นท่อนสั้นๆ ใส่ลงไปในหม้อดิน ใส่น้ำลงไปพอท่วม ใส่สารส้มลงไปตามกำหนด
จัดการต้ม เคี่ยว ให้เดือดอ่อนๆ เป็นเวลานานประมาณ ๑๕ นาทีก็พอ
แล้วยกลงปล่อยเอาไว้ให้เย็น

ขนาดรับประทาน
รินเอามาดื่ม ครั้งละ ๑ แก้ว เช้า กลางวันและเย็นรวม ๓ เวลา

สรรพคุณ
รักษาอาการความดันโลหิตสูง อาการปวดวิงเวียนมึนตื้อ ตึงท้ายทอยจะหายไป
ความดันโลหิตจะลดลงเป็นปกติ เมื่อดื่มยานี้ไปประมาณ ๕-๖ วันเท่านั้นเอง ปกติดีแล้วก็งดดื่มยาได้




ยารักษาความดันโลหิตสูง
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
กาฝากมะม่วงกะล่อนทั้งห้า (ต้น ใบ ราก) สดๆ ด้วยการตัดเอามาจากต้นมะม่วงกะล่อน สับเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ กก.

วิธีปรุงยา
เอากาฝากมะม่วงสดๆ มาสับเป็นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอาไปตากแดดให้แห้งสนิท ซึ่งจะต้องตากหลายๆ แดด
แล้วเอามาใส่ลงไปในภาชนะที่ปิดฝามิดชิด ป้องกันอากาศเข้าไปได้ เก็บเอาไว้ใช้ได้นานวัน
เวลาจะใช้เอากาฝากมะม่วงที่ตากแห้งแล้วนี้ มาใส่ลงไปในหม้อดินสัก ๒ กำมือ เติมน้ำสะอาดลงไปพอท่วมตัวยานี้ ต้ม เคี่ยวให้เดือดอ่อนๆ ประมาณ ๑๕ นาที ให้ตัวยาละลายออกมามากๆ
แล้วยกลงปล่อยเอาไว้ให้เย็นไปเอง

ขนาดรับประทาน
ดื่มน้ำกาฝากมะม่วงกะล่อนนี้ ครั้งละ ๑ แก้ว เช้า กลางวันและเย็น หิวน้ำก็ดื่มน้ำนี้แทนน้ำไปเลยก็ได้

สรรพคุณ
อาการความดันโลหิตสูง จะค่อยๆ ทุเลาลงไปเรื่อยๆ ปจนหายเป็นปกติดีแล้ว ก็หยุดดื่มได้




ยารักษาความดันโลหิตสูง
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
ต้นลิ้นมังกร (ทั้งต้น ทั้งราก) ๓ กำมือ
น้ำตาลกรวดก้อนเท่าหัวแม่มือ ๑ ก้อน

วิธีปรุงยา
เอาต้นลิ้นมังกรดังกล่าวมาล้างให้สะอาด สับเป็นท่อนสั้นๆ ใส่ลงไปในหม้อดินสำหรับต้มยา
เติมน้ำสะอาดลงไปพอท่วมสัก ๓ ส่วน ใส่น้ำตาลกรวดลงไปอีก จัดการต้ม เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ให้งวดลงเหลือส่วนเดียว เพื่อให้เกิดความเข้มข้นขึ้นมา

ขนาดรับประทาน
ดื่มเป็นยา ครั้งละ ๑ ถ้วยชา เช้า กลางวันและเย็น ดื่มไปสัก ๑ สัปดาห์

สรรพคุณ
แก้อาการความดันโลหิตสูงได้ดีมาก อาการมึนศรีษะ ซึม ตึงหน่วงที่ท้ายทอยก็จะค่อยๆ หายไป
ข้อสำคัญจะต้องดื่มยานี้ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ อย่าเว้นบ้าง ดื่มบ้าง จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร




ยารักษาความดันโลหิตสูง
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
รากระย่อมรวมทั้งต้น ๓ กำมือ

วิธีปรุงยา
ถอนเอาต้นระย่อมมาทั้งรากทั้งต้น จัดการล้างทำความสะอาดให้ดี อย่าให้ดิน โคลน สิ่งสกปรกติดอยุ่ได้ ล้างให้สะอาดดีแล้วเอามาหั่นเป็นท่อนๆ
ใส่ลงไปในหม้อดินต้มยา เติมน้ำสะอาดลงไปพอท่วม กะเป็น ๓ ส่วนแล้วยกเอาขึ้นตั้งบนเตาไฟ
ต้ม เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ให้น้ำยางวดลงเหลือส่วนเดียว ยกลงมา ปล่อยเอาไว้ให้เย็นลง

ขนาดรับประทาน
ดื่มครั้งละ ๑ แก้ว เช้า และเย็น ดื่มทุกวันอย่าเว้น

สรรพคุณ
แก้อาการความดันโลหิตสูงได้ดีมาก ทำให้ความดันโลหิตสูงลดลงได้อย่างน่าพิศวง อาการปวดมึนศรีษะหายไปเรื่อยๆ จนเป็นปกติ
อาการมึน ปวดท้ายทอยก็จะหายไป
ดื่มยานี้ไปไม่เกิน ๗ วัน อาการความดันโลหิตสูงก็เป็นปกติได้





ยารักษาความดันโลหิตสูง
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
ต้นสาบเสือทั้งห้า ๑ กำมือ
พริกไทยล่อน ๗ เม็ด

วิธีปรุงยา
จัดการเอาต้นสาบเสือทั้งห้า คือ ทั้งต้น ใบ ราก ดอก ราก เรียกว่าทั้งต้นทั้งราก จัดการล้างทำความสะอาดให้ดี ตัดออกเป็นท่อนๆ สั้นๆ
ใส่ลงไปในหม้อดิน เอาพริกไทยล่อนทั้ง ๗ เม็ดใส่ลงไปด้วย เติมน้ำสะอาดลงไปพอท่วม ต้ม เคี่ยวไปจนงวดลงมากๆ ด้วยการใส่น้ำลงไป ๓ ส่วนเคี่ยวจนเหลือส่วนเดียว
ยกลงมา ปล่อยเอาไว้ให้เย็นลง แล้วเอามาดื่มได้

ขนาดรับประทาน
รินเอาน้ำยานี้มาดื่ม ครั้งละ ๑ ถ้วยชา ดื่มเช้า กลางวันและเย็นรวมวันละ ๓ เวลา
ดื่มไปเรื่อยๆ หมดยาก็ต้มใหม่ ดื่มไปสัก ๑ สัปดาห์

สรรพคุณ
รักษาอาการความดันโลหิตสูงได้ดีมาก อาการความดันโลหิตสูงจะทุเลาลงเรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด




ยารักษาความดันโลหิตต่ำ

ส่วนผสมของตัวยา
หมูเนื้อแดง ๑ กก.
พรกไทยล่อน ๑ กระป๋องนมข้นหวาน
น้ำผึ้งแท้

วิธีปรุงยา
เอาส่วนผสมของตัวยาข้างบนนี้ คือ หมูเนื้อแดงกับพริกไทยล่อนมาบดรวมผสมกัน ให้เข้ากันดี
แล้วเอาไปใส่ขวดปากกว้างหรือขวดโหล เอาน้ำผึ้งแท้เทใส่ลงไปให้ท่วมเนื้อหมูและพริกไทยล่อนบดละเอียด ปิดฝาขวดหรือโหลเอาไว้ให้แน่น แล้วเอาไปหมกเอาไว้ในข้าวเปลือกประมาณครึ่งเดือนขึ้นไป เช่น ๒๐-๒๕ วัน หรือ ๓๐ วันก็ได้
แล้วก็เอาออกมาจากการหมกในข้าวเปลือก

ขนาดรับประทาน
รินเอาแต่เพียงน้ำผึ้งที่ดองเนื้อหมูกับพริกไทยล่อน ดื่มกินวันละประมาณ ๑ ช้อนแกง วันละครั้งเดียวก็พอ ดื่มกินไปสัก ๕ วัน ท่านว่าจะได้ผลดีมากในการรักษาอาการของโรคที่เกิดขึ้น

สรรพคุณ
แก้อาการของโรคความดันโลหิตต่ำได้ดีมาก รวมทั้งโรคโลหิตจางก็ได้ผลดี



ยารักษาโรคเบาหวาน
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
ยอดขี้เหล็ก ๑ กก.
สารส้ม ๑๐๐ กรัม
น้ำผึ้งแท้

วิธีปรุงยา
เอายอดขี้เหล็กมาล้างให้สะอาด ตัดเป็นท่อนสั้นๆ เสียก่อน ใส่ครกโขลกให้ละเอียด หรือจะเอามาบดก็ได้ อย่าลืมเอาสารส้มใส่ลงไปโขลก หรือบดผสมผสานกันเข้าไปด้วย ละเอียดดีแล้วเอาออกมาจากครก ผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนสักขนาดปลายนิ้วก้อย

ขนาดรับประทาน
รับประทานวันละ ๑ เม็ด ทุกๆ วันเป็นเวลาประมาณ ๑ เดือนเศษ หากอาการมาก โรคมีอยู่มาก ก็รับประทานวันละ ๒ เม็ด ซึ่งจะต้องใช้เวลานานกว่า ๑ เดือน แต่ก็หายได้

สรรพคุณ
รักษาอาการของโรคเบาหวานได้ดีมาก อาการเบาหวานจะค่อยๆ ทุเลาลงเรื่อยๆ อย่าหยุดยาในระหว่างที่กำลังรับประทานยา




ยารักษาโรคเบาหวาน
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
เปลือกต้นไข่เน่า ๒ กำมือ
เกลือทะเล (เกลือแกง) ๒ ช้อนโต๊ะ

วิธีปรุงยา
เอาเปลือกต้นไข่เน่ามาล้างให้สะอาด ใส่ลงไปในหม้อดินสำหรับต้มยา ใส่น้ำลงไปให้ท่วมตัวยาพอสมควร ใส่เกลือแกงหรือเกลือทะเลลงไปด้วย
ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ ต้ม เคี่ยว ให้เดือดอ่อนๆ โดยเคี่ยวไปสัก ๒๐ นาที โดยกะให้น้ำ ๓ ส่วน แล้วงวดลงเหลือเพียง ๑ ส่วน ตามหลักการของการต้มยาต้มทั้งหลาย
ขนาดรับประทาน
รับประทานยานี้ครั้งละ ๑ ถ้วยชา ก่อนอาหารเช้าและก่อนนอน ทุกๆ วันวันละ ๒ ครั้ง ดื่มกินยานี้เพียง ๗ วันอาการของโรคนี้จะทุเลาลงเรื่อยๆ

สรรพคุณ
รักษาอาการของโรคเบาหวานได้ดีมาก เบาหวานมีทั้งอาการที่เป็นมากและเป็นน้อย หากเป็นมาก ก็อาจจะต้องดื่มยานี้ไปเป็นเวลานานวันกว่าผู้ป่วยที่มีอาการน้อยกว่า



ยารักษาโรคเบาหวาน
ขนานที่

ส่วนผสมของตัวยา
ใบทองพันชั่ง หนัก ๑ บาท
ใบชุมเห็ด หนัก ๑ บาท
พริกไทยล่อน หนัก ๑ บาท
ต้นเหงือกปลาหมอ หนัก ๑ บาท
น้ำผึ้งแท้

วิธีปรุงยา
ก่อนอื่นเอาตัวยาทั้งหมด ยกเว้นน้ำผึ้งแท้ ตากแดดให้แห้งสนิทเสียก่อน ต่อมาก็เอามาบดเป็นผงละเอียดตามวิธีการบดยาสมุนไพรทั้งหลาย
เอามาผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเมล็ดในพุทราไทย เก็บเอาไว้ในภาชนะปิดฝาสนิท รับประทานได้นานๆ

ขนาดรับประทาน
รับประทานครั้งละ ๖ เม็ด เช้าและเย็น เป็นเวลา ๓๐ วันหรือ ๑ เดือนเศษ อาการจะทุเลาลงเรื่อยๆ จนหาย

สรรพคุณ
รักษาอาการของโรคเบาหวานได้ดีมาก หากเป็นมาก ก็อาจจะต้องรับประทานยานี้ไปเป็นเวลานานวันหน่อย คือมากกว่า ๑ เดือน
อดทน พยายามรับประทานยาไปเรื่อยๆ อย่าเว้นวันรับประทานบ้าง หรือไม่รับประทานบ้าง จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น